เอเจนซี่ คือ ตัวแทนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งแตกต่างกัน มาเพื่อแก้ปัญหาของลูกค้าและตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ถึงที่สุด
หลายๆ คนที่ทำธุรกิจอยู่ อาจจะเคยใช้บริการเอเจนซี่มาหลายๆ เจ้า ไม่ว่าจะมาเพื่อใช้ช่วยเรื่องต่างๆ เช่น ช่วยเรื่องการตลาด หรือ แม้กระทั่งจัดงานอีเว้นท์ แต่จริงๆ แล้ว เอเจนซี่ คืออะไรกันแน่ แล้วจริงๆ มีกี่แบบ เกิดมาเพื่ออะไรกันแน่
เอเจนซี่ (Agency) คืออะไร?
เอเจนซี่ (Agency) คือ ตัวแทนหรือตัวกลางที่มีความเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งแตกต่างกัน ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาของลูกค้าและตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ถึงที่สุด
ในมุมมองของลูกค้า มักเลือกที่จะจ้างเอเจนซี่ (Agency) ในการทำโปรเจ็คสักชิ้นขึ้นมา เนื่องจากเอเจนซี่ (Agency) เคยดูแลลูกค้ามาหลายแบรนด์และมีประสบการณ์ในการทำโปรเจคที่กับลูกค้าหลากหลายอุตสาหกรรม
เอเจนซี่ (Agency) รู้ดีว่าวิธีแก้ปัญหาแบบใดจะประสบผลสำเร็จมากที่สุด เนื่องจากเอเจนซี่ (Agency) มีข้อมูลลูกค้าในแต่ละกลุ่มธุรกิจและจับเทรนด์ธุรกิจได้ไวกว่าแบรนด์นั่นเอง โดยรูปแบบบริการส่วนใหญ่ของเอเจนซี่ (Agency) มักมาพร้อมด้วยการให้คำปรึกษา คำแนะนำด้านกลยุทธ์ให้กับลูกค้า
สำหรับในบางครั้ง สำหรับแบรนด์หรือลูกค้า ที่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs) อาจจะมีปัญหาในเรื่องบุคลากรเฉพาะทาง การจ้างเอเจนซี่ (Agency) เป็นอีกหนึ่งไอเดียที่ดีในการไม่ต้องจ้างบุคลากรเพิ่ม หรือจ้างเฉพาะโปรเจ็คที่ทำเพียงชั่วคราว
สำหรับแบรนด์หรือองค์กรที่มีขนาดใหญ่ ก็เป็นไปได้ว่าจะไม่มีปัญหาในเรื่องบุคลากรเฉพาะทาง แต่บางครั้งอาจจ้างเอเจนซี่ (Agency) เพื่อช่วยออกไอเดียใหม่ ๆ รวมถึงช่วยคิดแคมเปญให้อีเวนท์หรือโปรเจ็คสำคัญ เอเจนซี่ (Agency) อาจมีไอเดียที่แปลกใหม่และหลากหลายให้กับแบรนด์ได้ เนื่องจากเคยเจอลูกค้าและมีมุมมองที่หลากหลาย
เอเจนซี่ มีกี่แบบ อะไรบ้าง?
โดยปกติแล้วเอเจนซี่ที่ดูแลด้านสื่อการตลาดทั้งแบบออฟไลน์และแบบออนไลน์จะประกอบไปด้วย 7 ประเภทหลัก ได้แก่
1. เอเจนซี่โฆษณาแบบดั้งเดิม
เป็นการโฆษณาตามพื้นที่สื่อแบบดั้งเดิม อาทิ หนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ ซึ่งปกติแล้วจะเป็นการโฆษณาตามแต่ละพื้นที่ ขึ้นอยู่กับความต้องการโฆษณาของลูกค้า
การโฆษณามีมากมายหลากหลายรูปแบบทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ขึ้นอยู่กับว่าต้องการเจาะตลาดคนกลุ่มไหนมากที่สุด
2. เอเจนซี่โฆษณาดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย
มีความเชี่ยวชาญด้านการใช้งาน Digital Marketing Tools สามารถคำนวณและวิเคราะห์ค่าต่าง ๆ จากเครื่องมือได้ มักทำการตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์หลายประเภท เช่น Facebook, Line OA, Instagram, Messenger เป็นต้น โดยปกติกลยุทธ์ที่ใช้จะเป็นการทำ SEO, SEM, Infographic หรือการยิงโฆษณา เป็นต้น และมีหน้าที่คอยให้คำปรึกษาและติดตามปัญหาจากลูกค้าทุกเวลาเหมือนที่ เอเจนซี่โฆษณา Gorillaideas เคยได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าหลายองค์กรให้ช่วยเป็นผู้ดูแลด้านการตลาดออนไลน์
3. เอเจนซี่ ประชาสัมพันธ์
คอยดูแล พัฒนา และปรับปรุงภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ลูกค้าเกิดความไว้วางใจในจุดยืนและภาพลักษณ์ของแบรนด์จนตัดสินใจอยากเข้ามาใช้บริการ ส่วนมากแบรนด์ที่ต้องการจ้างเอเจนซี่กลุ่มนี้จะเป็นแบรนด์ขนาดกลางและใหญ่ที่ต้องการควบคุม จัดการ Brand Awareness สู่สาธารณะ และต้องการให้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันกับทั้งแบรนด์ในทุกภูมิภาค
4. เอเจนซี่สร้างแบรนด์ (BRANDING AGENCY)
ช่วยในการทำวิจัยด้านการตลาด, สำรวจตลาดและคู่แข่ง, กลุ่มเป้าหมาย Pain Point ของลูกค้าอย่างละเอียด เพื่อนำมาปรับปรุงการพัฒนาแบรนด์, การวาง Buyer Persona และการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้อยู่ในจุดที่ลูกค้ายอมรับในสินค้าและแบรนด์ให้มากที่สุด
5. เอเจนซี่ ซื้อสื่อ (MEDIA BUYER AGENCY)
ทำหน้าที่วิเคราะห์การตลาด ทำความเข้าใจความสนใจของลูกค้าแต่ละแบบ เสาะหาปริมาณการใช้งานสื่อไหนที่มากที่สุดและเลือกสื่อนั้นให้เหมาะสมกับแบรนด์มากที่สุด โดยจะมุ่งเน้นไปที่แพลตฟอร์มในช่องทางเดียว เหมาะกับแบรนด์ที่ต้องการสื่อสารไปในช่องทางเดียวอย่างตรงจุด โดยปกติมักเป็นการร่วมมือกันระหว่างเอเจนซี่ซื้อสื่อกับเอเจนซี่ที่รับทำสื่อจากภายนอก
6. เอเจนซี่โฆษณาแบบสร้างสรรค์ (CREATIVE AGENCY)
มีหน้าที่คิดและออกแบบ และวางโลโก้ให้เหมาะสมกับลูกค้า สร้างมาสคอตให้กับแบรนด์ ส่วนมากจะเป็นเอเจนซี่ที่มีทีมกราฟิกอยู่ด้วย และบางครั้งอาจรับงานร่วมกับเอเจนซี่ซื้อสื่อที่จัดหาลูกค้ามาให้ เหมาะสำหรับแบรนด์ที่ต้องการย่อยคอนเทนต์ให้เข้าใจง่ายขึ้น เข้าถึงกลุ่มคนที่หลากหลายมากขึ้น
7. เอเจนซี่แบบครบวงจร (FULL-SERVICE หรือ ONE-STOP SERVICE AGENCY)
เป็นเอเจนซี่ที่ให้บริการแบบเต็มรูปแบบ ที่ครอบคลุมทุกเรื่องด้านการตลาด ตั้งแต่เริ่มต้นการศึกษาการตลาด การออกแบบสื่อโฆษณา การประเมินผลการตลาด ไปจนจบโปรเจกต์
ข้อดีข้อเสียของการใช้เอเจนซี่
ข้อดี
1. ได้ผลตอบรับที่คุ้มค่ากับงบประมาณที่ลงทุนไป
เพราะเป็นการฝากงานไว้กับผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นโดยตรง จึงมีความรู้ความเข้าใจเพียงพอที่จะออกแบบโฆษณาให้ดึงดูดลูกค้าและใช้งานได้อย่างคุ้มค่ากับงบประมาณที่ลงไปให้มากที่สุด อีกทั้งเอเจนซี่ยังมีทีมงานที่พร้อมสร้างสื่อคอนเทนต์ให้คุณพร้อมทำให้ไม่ต้องลงทุนไปจ้าง Content Creator จากที่อื่นให้เสียเวลาอีกด้วย
2. ได้ใช้ MARKETING TOOLS รุ่นล่าสุด
เพราะการตลาดเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วอย่างสม่ำเสมอ อุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ในการวัดค่าความสำเร็จจึงต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย และด้วยความสามารถของเอเจนซี่ที่ออกแบบมาเพื่อติดตามเทรนด์การตลาดอยู่แล้วโดยเฉพาะ ทำให้ต้องอัปเดตเครื่องมือที่จำเป็นต้องใช้อยู่ตลอด ทำให้รู้ผลแม่นยำ และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ตรงจุดมากกว่า
3. เพิ่มเติมความรู้ไปพร้อม ๆ กับคำแนะนำจากทีมเอเจนซี่
เวลาเกิดปัญหาไม่รู้จะถามใคร ทีมเอเจนซี่คือคำตอบ เพราะมีความรู้เฉพาะทาง ความสามารถในการไล่ตามกลยุทธ์และเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น พร้อมกับประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนานจาก Case Study จากหลาย
แบรนด์ ทำให้เอเจนซี่เป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ตรงจุดและครอบคลุมทุกคำถามได้มากที่สุด
ข้อเสีย
- มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
ข้อดีของทำด้วยตนเอง หรือทีมงานภายในคือ “ประหยัด” เนื่องจากฝนบางครั้ง การจ้างเอเจนซี่ ทำให้ธุรกิจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น มากกว่าจากการทำเอง หรือจ้างบุคลากรเพิ่ม แต่การจ้างก็ช่วยให้ทีมงานขององค์กรมีเวลาไปทำอย่างอื่นมากขึ้น สุดท้ายแล้ว ธุรกิจควรดูความคุ้มค่าระหว่างผลลัพธ์ที่ได้เปรียบเทียบกับเงินที่ต้องเสียไป
2. อาจโดนเอเจนซี่หลอก
เนื่องจากธุรกิจประเภท Digital Marketing ค่อนข้างเป็นที่นิยมสูง ทำให้มีบริษัทเอเจนซี่ใหม่เปิดใมห้บริการเยอะมาก ซึ่งหลายๆ อาจจะเป็นบริษัทเอเจนซี่ปลอมที่หลอกลวงลูกค้า โดยรับเงินแล้วก็เทงาน ไม่ยอมทำงานให้ ทำให้ลูกค้าเสียทั้งเงินและเวลา ดังนั้นก่อนจ้างควรจะพิจารณาให้ดีว่า บริษัทนั้นๆ มีตัวตนจริงหรือไม่? สามารถติดตามตัวง่ายหรือยาก เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต
3. ไม่รู้อินไซต์หรือข้อมูลลูกค้า
เนื่องจากในการจ้างเอเจนซี่ (Agency) ช่วยทำการโฆษณา ถึงแม้จะทำให้เราได้ลูกค้ามากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ข้อมูลลูกค้าที่สำคัญต่อธุรกิจ อาจจะอยู่ในมือเอเจนซี่ (Agency) ซึ่งทำให้ธุรกิจหรือแบรนด์ ไม่รู้จักลูกค้าได้เท่าที่ควร
วิธีการเลือกเอเจนซี่ให้เหมาะสม
ดูเป้าหมายของธุรกิจ
แต่ละธุรกิจมีความแตกต่างกัน ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงในเรื่องของสินค้า และ บริการเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัฒนธรรมการทำงาน และ ความคาดหวัง
สิ่งแรกที่เราจะต้องทำความเข้าใจนั่นคือ “เป้าหมาย” ที่ธุรกิจของเราต้องการ ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจปลายทางว่าสุดท้ายแล้วเราอยากได้อะไรจากการเลือกใช้เอเจนซี่ (Agency) ทั้งนี้เป้าหมายของแต่ละที่ก็มักจะแตกต่างกัน
บางธุรกิจต้องการยอดขาย หรือบางรายก็ต้องการสร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์ และสำหรับใครที่เริ่มรู้เป้าหมายของธุรกิจตัวเองแล้ว อีกคำแนะนำก็คือการเขียนลิสต์ขึ้นมา เพื่อให้ง่ายต่อการทำให้เอเจนซี่ (Agency) รู้ว่าสุดท้ายแล้วเราต้องการบริการอะไรจากพวกเขากันแน่
เลือกเอเจนซี่ (Agency) ที่มีความเชี่ยวชาญ
ดูผลงานและลูกค้าที่เคยไว้ใจทำงานร่วมกับเอเจนซี่ (Agency) เพื่อดูความน่าเชื่อถือ รูปแบบผลงานและความถนัดของเอเจนซี่ (Agency) ซึ่งสิ่งนี้เองจะช่วยบอกว่า เอเจนซี่นี้ มีประสบการณ์จะเหมาะสมจะมาเป็นผู้ช่วยให้กับธุรกิจของคุณหรือไม่
ดูชื่อเสียงของเอเจนซี่เจ้านั้นๆ
การตรวจดูรีวิวบนโซเชียลถือเป็นวิธีที่ง่ายมากๆ เพราะในโลกของออนไลน์ คำวิจารณ์ในทางลบมักจะมีผู้คนสนใจเยอะ และมักจะไม่หายไปในโลกโซเชียล ดังนั้นหากเอเจนซี่เจ้านั้นๆ ไม่ได้รับการยอมรับและมีชื่อเสียงในด้านลบจากลูกค้าเก่า ก็สามารถใช้เป็นการประเมินคร่าวๆ ได้ว่า คุณควรจ้างบริษัทนี้มาดูแลการตลาด ควบคุมงบประมาณให้คุณหรือไม่?
ดูวัฒนธรรมและวิธีการทำงานของ Agency เจ้านั้นๆ
การเตรียมตัวข้อมูลก่อนจ้างเป็นสิ่งที่สำคัญ หากรู้ข้อมูลเปรียบเทียบบริการเอเจนซี่แต่ละแห่งก่อนตัดสินใจจ้าง จะทำให้คุณรู้ข้อดีข้อเสียแต่ละเจ้า และลักษณะการทำงานว่าแตกต่างกันอย่างไร? เช่น บางเจ้าอาจจะพูดคุยผ่านออนไลน์ 100% บางเจ้าถนัดเข้าประชุมไปหาลูกค้า บางเจ้ามีการสรุปผลการทำงานทุกๆ 1 เดือน หรือ บางเจ้าสรุปผลการทำงานทุก 1 สัปดาห์ แล้วดูว่า ชอบการทำงานในรูปแบบไหนแล้วค่อยตัดสินใจ
ดังนั้นเอเจนซี่ ก็คือทางเลือกหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมคุณภาพและยอดขายของธุรกิจ แถมยังประหยัดเวลา เพราะเมื่อมีเอเจนซี่เข้ามาช่วยเหลือด้านการทำงานในด้านต่าง ๆ ที่เอเจนซี่มีความถนัด เช่น เน้นเป็นบริษัทโฆษณา แล้ว เจ้าของแบรนด์จึงไม่ต้องเสียเวลาไปกับแผนงานในส่วนนั้น ๆ และสามารถโฟกัสไปที่งานหลักของธุรกิจได้เต็มที่ ส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานมากกว่าการทำทุกอย่างเองด้วยตัวคนเดียวอย่างแน่นอน